Sunday, June 10, 2007

Fiji - Navala Village - Getting there (5)

วันนี้เป็นวันอาทิตย์เราเริ่มต้นการเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ล้อหมุนประมาณ 8 โมงครึ่งเพื่อออกเดินทางไปหมู่บ้าน Navala ซึ่งเป็นหมู่บ้านแบบฟิจิดั้งเดิมแห่งเดียวบนเกาะนี้ ทางเลือกเดียวสำหรับเราที่จะไปหมู่บ้านนี้ในวันอาทิตย์คือเช่ารถไปเองค่ะ เนื่องจากไม่มีทัวร์ไหนเปิดบริการในวันอาทิตย์เลย แต่ถึงมีทัวร์เราก็คงไม่ใช้บริการเพราะนอกจากแพงแล้วยังไม่ได้รับความตื่นเต้นและความลำบากเท่าที่ควร

จากเมือง Nadi จุดหมายแรกของเราคือเมือง Lautoka ซึ่งห่างจากเมือง Nadi ไปราว 16 km
โดยถนนที่นำเราไปยังเมือง Lautoka นั้นจะเป็นถนนราดยางสองเลนบางช่วงเรียบบางช่วงขรุขระ ถนนช่วงแรกจะเลาะเรียบชายฝั่งไปเรื่อยๆสามารถมองเห็นทะเลสีฟ้าเขียวพร้อมเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่ไกลๆ




พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่อ้อยแม้กระทั่งรางรถไฟเล็กๆที่เราเห็นก็มีไว้สำหรับขนอ้อยไปยังโรงงานน้ำตาล เมือง Lautoka ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลักที่ผลิตน้ำตาลของฟิจิ

ขอย้อนไปเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของฟิจิสักเล็กน้อยนะคะ เมื่อครั้งที่ฟิจิตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษใหม่ๆเกิดความต้องการคนงานจำนวนมากเพื่อมาทำงานในอุตสาหกรรมน้ำตาล หลังจากที่ลองใช้บริการของชาวเกาะโซโลมอนและชาวจีนแต่ผลที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจทำให้มีการตัดสินใจนำเข้าคนงานชาวอินเดีย เรือลำแรกที่บรรทุกคนงานชาวอินเดียมาถึงฟิจิในปีค.ศ. 1879 โดยที่คนงานเหล่านี้ได้เซ็นสัญญาทำงานเป็นเวลา 5 ปีซึ่งหลังจากนี้ทุกคนมีสิทธิจะกลับไปยังแดนภารตะปรากฏว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ต่อ ทำให้ในราวปีค.ศ. 1916 มีชาวอินเดียอยู่ในฟิจิเป็นจำนวนมากและเป็นบรรพบุรษของชาว Indo-Fijian ในปัจจุบัน


ระหว่างทางเราสังเกตุว่าฟิจิมีการกำหนดความเร็วสูงสุดทั่วประเทศไว้ที่ 80 กม. ต่อชั่วโมง ดูจากสภาพบ้านเมืองและสภาพถนนแล้วเราก็มีความเห็นตรงกันว่าคงไม่มีกล้องตรวจจับความเร็วประเภทหยุมหยิมโรคจิตแบบที่เมืองจิงโจ้เป็นแน่แท้


เมื่อเข้าใกล้เมือง Lautoka สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น


เริ่มจะมีผู้คนและโรงงานน้ำตาล ข้างทางมีการวางขายปลาทะเลสดๆ และพืชผักโดยชาวพื้นเมือง





พอเรามาถึง Downtown ของเมืองก็พบกับเมืองที่มีสภาพราวกับเมืองร้างเนื่องจากไม่มีร้านค้าไหนเปิดขายเลยในวันอาทิตย์ ความตั้งใจเดิมที่จะแวะเมืองนี้ก็เลยต้องล้มไป เราจึงเดินทางต่อไปยังเมือง Ba ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 20 km
ระหว่างทางเราเห็นชาวฟิจิแต่งตัวด้วยชุดที่เป็นทางการที่สุดเพื่อไปโบสถ์ ผู้ชายจะใส่สูทเต็มยศพร้อมนุ่งกระโปรงหรือโสร่งยาวระดับเข่า











พอเรามาถึงเมือง Ba ก็พบว่าเมืองนี้ยังพอมีร้านค้าเปิดขายของบ้าง มารู้ภายหลังว่าคนในเมืองนี้เป็นพวก Indo-Fijian ซึ่งเป็นชาวอินเดียดั้งเดิมที่นับถือฮินดิ จึงไม่ต้องไปโบสถ์เหมือนชาวฟิจิที่ส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ มิน่าร้านรวงที่นี่ยังพอมีภาษาอินเดียให้เห็น

เราหยุดแวะถามทางพร้อมเข้าห้องน้ำกันในปั๊มน้ำมันแห่งเดียวในเมือง Ba ด้านหลังของปั๊มมีลำธารเล็กๆ พร้อมเรือสีแม่สีจอดอยู่หลายลำ เจ้าของปั๊มบอกเราว่าหมู่บ้าน Navala ไปอีกไม่ไกลหรอกประมาณครึ่งชั่วโมง (ให้มันจริงเถอะ)

นอกจากหมู่บ้าน Navala แล้วนักท่องเที่ยวยังนิยมเยี่ยมชมตลาดสดเมือง Ba น่าเสียดายที่ตลาดสดขนาดใหญ่ของเมืองไม่เปิดในวันนี้


ที่พอเห็นก็มีผักผลไม้ขายอยู่ในปั๊มประมาณว่าเป็น Tesco Express บ้านเราอะค่ะ บริเวณถนนด้านหน้าปั๊มมีกองเผือกวางขายอยู่ เรียงเป็นกองได้น่าเอ็นดูเชียวค่ะ ดูไกลๆนึกว่ากระปุกหมูออมสิน

ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับหมู่บ้าน Navala ที่หาได้จากหนังสือ Lonely Planet มีเพียงแค่ “จากเมืองบา วิ่งตรงไปจนเจอป้อมตำรวจอยู่ทางซ้าย วิ่งตรงต่อไปจะมีตลาดอยู่ทางขวา พอถึงทางแยกให้แล้วซ้าย ทางขรุขระแต่ก็พอไปได้ เมื่อไปถึงให้ถามหาหัวหน้าเผ่าโดยตามธรรมเนียมให้จ่ายค่าธรรมเนียม 15 FJD หรือนำของกำนัลไปฝาก” ...
เท่านั้นจริงๆค่ะ หลังจากเราแวะเข้าห้องน้ำที่ปั้มในเมืองบาที่ค่อนข้างเงียบสงัดเราก็ออกเดินทางต่อ ทางที่เราวิ่งไปช่วงประมาณ 5 กิโลเมตรแรกยังพอมีรถวิ่งสวนไปมาบ้างค่ะ

และก็มาถึงสะพานไม้ซึ่งสภาพยังพอใช้การได้ ว้าว นี่ขนาดเพิ่งเริ่มทางยังดูมีสภาพไม่น่าไว้ใจขนาดนี้ เราตัดสินใจว่าจะถามทางทันทีถ้าเจอสิ่งมีชีวิตที่พูดได้



... และแล้วเราก็เจอพี่สาวลูกดกที่ยืนอยู่หน้าบ้าน เลยถามทางทันที พี่สาวบอกว่าพอเจอทางแยกตัว Y ให้ไปทางซ้าย ไม่ไกลหรอก ไปอีก 10 ไมล์ (เมื่อกี้คนในเมืองก็พูดแบบนี้ เออ แล้วจะคอยดู)

ผ่านบ้านหลังแรกและหลังสุดท้ายมา ในที่สุดเราก็เห็นป้ายที่เป็นลูกศรในตัวปะอยู่บนต้นไม้เขียนว่า “NAMUA NAVALA” มันต้องเป็นป้ายไปหมู่บ้านแน่ๆ อย่างน้อยคำที่สองมันก็ตรงกับชื่อหมู่บ้านที่จะไป เห็นมั๊ยค่ะว่าความบันเทิงขนาดนี้จะหาไม่ได้เลยถ้ามากับทัวร์




เรามาถึงทางแยกตัว Y ขณะนั้นก็มีรถบรรทุกสีเขียวตามเรามาติดๆ เราตัดสินใจให้พี่เค้าแซงไป ไม่รู้ข้างหน้าจะมีมนุษย์ให้ถามทางหรือเปล่า แล้วจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ว่าแล้วก็ถามคุณพี่คนขับซึ่งมีคุณพี่ผู้หญิงนั่งหน้ามาคู่กัน พลขับเราเอ่ยถาม “หมู่บ้าน Navala ไปทางไหนครับ?” คุณพี่ก็ดีใจหายบอกทันที “ตามเรามา” ใจดีจริงๆ



รถบรรทุกเขียวกับรถโตโยต้าอันติ๊ดของเราเทียบกันไม่ได้จริงๆ เพราะคุณพี่สามารถบึ่งตะบึงไปบนถนนที่ขรุขระสุดขีดเป็นหินกรวดก้อนใหญ่ก้อนเล็กตลอดทาง สภาพถนนเทียบแล้วแย่กว่าที่เขมรและเกาะไหหลำซึ่งทำอิชั้นไส้ครากมาแล้วอะค่ะ มิน่าทำไมทุกทัวร์ที่มาหมู่บ้านนี้ต้องใช้รถ 4WD ระหว่างวิ่งไปเราจะได้ยินเสียงหินดีดใส่ตัวถังรถตลอดเวลา ทำให้เราต้องค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทีละนิดละหน่อย


เราตามหลังคุณพี่ใจดีมาพักนึงก็ถึงทางแยกซึ่งเค้าก็บอกเราว่าต้องแยกกันแล้ว เอาหล่ะซิ เริ่มเสียความมั่นใจ ระหว่างทางน้องแฟรงค์หยุดรถแล้วถามว่าแน่ใจหรือจะไปต่อ ไม่รู้ทางข้างหน้าจะเป็นยังไงแล้วไม่รู้ต้องไปอีกแค่ไหน และที่สำคัญไม่มีรถวิ่งตามเรามาสักคัน มีแค่ช่วงแรกๆ ที่ยังพอเห็นรถสวนอยู่บ้าง ด้วยความที่อิชั้นเป็นคนประเภทฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง aka ดันทุรังโดยเฉพาะเรื่องเที่ยวก็เลยพยายามบอกน้องแฟรงค์ไปว่าไปต่อนะนะ อีกนิดก็คงถึงทั้งๆที่มันไม่มีวี่แววเลยจริงๆค่ะ แต่ทางที่เราผ่านไปก็สวยจริงๆนะค่ะ เป็น Highland


รถวิ่งได้ซักพักเราเห็นแพะหน้าตาน่ารักยืนอยุ่ข้างทางเลยต้องแชะรูปไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย

ผ่านมาได้อีกพักใหญ่มองเห็นสะพานปูนอยู่เบื้องหน้า และแล้วเราก็เห็นคุณน้าคนนึงกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่ในลำธาร และตามที่เราได้ตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าเห็นสิ่งมีชีวิตที่พูดได้ก็ต้องถามทางทันที "ไปอีกไกลไหมน้า?" น้อง Frank ถาม น้าจ๊อกกี้ตอบทันที "อีก 5 miles" โอ้ดูมีความหวัง




รถวิ่งไปอีกพักใหญ่ทันใดเราก็มองเห็นหมู่บ้าน Navala อยู่ไกลๆ





อู๊ย อะไรมันจะลึกลับขนาดนี้ เป็นหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาจริงๆค่ะ แถมมีชัยภูมิมั่นเหมาะเนื่องจากอยู่ริมแม่น้ำ ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ค่ะ สรุปว่าเราขับรถมา 20 กิโลจากป้ายชื่อเมือง Navala ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงเศษค่ะ


ก่อนถึงหมู่บ้านต้องข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำ Ba ก่อน






เมื่อรถจอดหน้าหมู่บ้านมองเห็นเด็กชาย 2-3 คนยืนอยู่ อิชั้นก็เกิดอาการวิตกจริตไปต่างๆนานา เค้าจะต้อนรับเรามั๊ยนะ, วันนี้วันอาทิตย์ซะด้วยขนาดทัวร์ยังไม่มาเลย, แล้วจะไปหาหัวหน้าเผ่าเจอได้ยังไง blah blah ...


ปรากฏว่าทุกปัญหาย่อมได้รับการแก้ไข ทันใดก็มีคุณป้าผมซอยหัวสีดอกเลาเดินรี่เข้ามาหาเรา อิชั้นเลยถามว่า หัวหน้าเผ่าอยู่ที่ไหนค่ะ คุณป้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วมีแต่ caretaker หรือผู้ดูแล
ทางหมู่บ้านคิดค่าเข้าชมคนละ 25 FJD และถ้าอยากได้ guided tour ก็ขอเพิ่มอีก 10 FJD รายได้ไม่เลวจริงๆแพงกว่าที่ระบุไว้ในหนังสืออีกนะเนี่ย เลยแอบต่อรองเล็กน้อย "ในหนังสือเค้าบอกว่า 15 FJD เองป้า" ป้าสวนกลับด้วยสีหน้ามั่นใจข้อมูลเก่าแล้วยะ เอาวะไหนๆก็มาถึงแล้วก็เลยบอกป้าว่าเอา guide ด้วย ป้าบอกเราว่าเดี๋ยวขอแวะเอาเงินไปส่ง caretaker ก่อน


จากนั้นป้าก็เริ่มพาเราเดินชมหมู่บ้าน ลักษณะบ้านของชาวฟิจิเรียกกันว่า Bures เป็นบ้านที่ทำด้วยจากมุงด้วยหลังคาฟางทรงสูงไม่มีเสาตรงกลาง

พอสบโอกาสเหมาะก็เลยถามป้าว่า "โทษนะค่ะขอถามหน่อยว่าทำไมป้าหัวไม่เป็นทรงเห็ดเหมือนคนอื่นๆล่ะคะ" (รับรองว่าถามได้สุภาพมากค่ะไม่มีเคืองแน่นอน) ป้าตอบ "ชั้นเป็นคน Polynisia แต่มาแต่งกับคนฟิจิ" มิน่า ...

คุณป้าไกด์ก็เริ่มพาเดินดูรอบๆหมู่บ้าน ... รายละเอียดของหมู่บ้านชาวฟิจิขออุบไว้ตอนหน้านะคะ ... ขอบคุณที่อดทนรออ่าน blog ที่เขียนได้ช้าที่สุด นับถึงตอนนี้ก็ anniversary พอดีค่ะ แต่มันมีเหตุจริงๆค่า...

2 comments:

Unknown said...

hahaha... thanks for the story ka'.. love all the details ka'.. really make me feel like part of the trip ka'... :D

really wanna know whether any other ever asked her (the auntie guide) the same question na ka :P

Ornsuang S. said...

I believe there are people who wonder why the auntie's hair is not in a mushroom shape ah ka. Her hair style is so modern compared to native Fijian ah ka.