Sunday, June 10, 2007

Fiji - Navala Village - Getting there (5)

วันนี้เป็นวันอาทิตย์เราเริ่มต้นการเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ล้อหมุนประมาณ 8 โมงครึ่งเพื่อออกเดินทางไปหมู่บ้าน Navala ซึ่งเป็นหมู่บ้านแบบฟิจิดั้งเดิมแห่งเดียวบนเกาะนี้ ทางเลือกเดียวสำหรับเราที่จะไปหมู่บ้านนี้ในวันอาทิตย์คือเช่ารถไปเองค่ะ เนื่องจากไม่มีทัวร์ไหนเปิดบริการในวันอาทิตย์เลย แต่ถึงมีทัวร์เราก็คงไม่ใช้บริการเพราะนอกจากแพงแล้วยังไม่ได้รับความตื่นเต้นและความลำบากเท่าที่ควร

จากเมือง Nadi จุดหมายแรกของเราคือเมือง Lautoka ซึ่งห่างจากเมือง Nadi ไปราว 16 km
โดยถนนที่นำเราไปยังเมือง Lautoka นั้นจะเป็นถนนราดยางสองเลนบางช่วงเรียบบางช่วงขรุขระ ถนนช่วงแรกจะเลาะเรียบชายฝั่งไปเรื่อยๆสามารถมองเห็นทะเลสีฟ้าเขียวพร้อมเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่ไกลๆ




พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่อ้อยแม้กระทั่งรางรถไฟเล็กๆที่เราเห็นก็มีไว้สำหรับขนอ้อยไปยังโรงงานน้ำตาล เมือง Lautoka ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลักที่ผลิตน้ำตาลของฟิจิ

ขอย้อนไปเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของฟิจิสักเล็กน้อยนะคะ เมื่อครั้งที่ฟิจิตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษใหม่ๆเกิดความต้องการคนงานจำนวนมากเพื่อมาทำงานในอุตสาหกรรมน้ำตาล หลังจากที่ลองใช้บริการของชาวเกาะโซโลมอนและชาวจีนแต่ผลที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจทำให้มีการตัดสินใจนำเข้าคนงานชาวอินเดีย เรือลำแรกที่บรรทุกคนงานชาวอินเดียมาถึงฟิจิในปีค.ศ. 1879 โดยที่คนงานเหล่านี้ได้เซ็นสัญญาทำงานเป็นเวลา 5 ปีซึ่งหลังจากนี้ทุกคนมีสิทธิจะกลับไปยังแดนภารตะปรากฏว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ต่อ ทำให้ในราวปีค.ศ. 1916 มีชาวอินเดียอยู่ในฟิจิเป็นจำนวนมากและเป็นบรรพบุรษของชาว Indo-Fijian ในปัจจุบัน


ระหว่างทางเราสังเกตุว่าฟิจิมีการกำหนดความเร็วสูงสุดทั่วประเทศไว้ที่ 80 กม. ต่อชั่วโมง ดูจากสภาพบ้านเมืองและสภาพถนนแล้วเราก็มีความเห็นตรงกันว่าคงไม่มีกล้องตรวจจับความเร็วประเภทหยุมหยิมโรคจิตแบบที่เมืองจิงโจ้เป็นแน่แท้


เมื่อเข้าใกล้เมือง Lautoka สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น


เริ่มจะมีผู้คนและโรงงานน้ำตาล ข้างทางมีการวางขายปลาทะเลสดๆ และพืชผักโดยชาวพื้นเมือง





พอเรามาถึง Downtown ของเมืองก็พบกับเมืองที่มีสภาพราวกับเมืองร้างเนื่องจากไม่มีร้านค้าไหนเปิดขายเลยในวันอาทิตย์ ความตั้งใจเดิมที่จะแวะเมืองนี้ก็เลยต้องล้มไป เราจึงเดินทางต่อไปยังเมือง Ba ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 20 km
ระหว่างทางเราเห็นชาวฟิจิแต่งตัวด้วยชุดที่เป็นทางการที่สุดเพื่อไปโบสถ์ ผู้ชายจะใส่สูทเต็มยศพร้อมนุ่งกระโปรงหรือโสร่งยาวระดับเข่า











พอเรามาถึงเมือง Ba ก็พบว่าเมืองนี้ยังพอมีร้านค้าเปิดขายของบ้าง มารู้ภายหลังว่าคนในเมืองนี้เป็นพวก Indo-Fijian ซึ่งเป็นชาวอินเดียดั้งเดิมที่นับถือฮินดิ จึงไม่ต้องไปโบสถ์เหมือนชาวฟิจิที่ส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ มิน่าร้านรวงที่นี่ยังพอมีภาษาอินเดียให้เห็น

เราหยุดแวะถามทางพร้อมเข้าห้องน้ำกันในปั๊มน้ำมันแห่งเดียวในเมือง Ba ด้านหลังของปั๊มมีลำธารเล็กๆ พร้อมเรือสีแม่สีจอดอยู่หลายลำ เจ้าของปั๊มบอกเราว่าหมู่บ้าน Navala ไปอีกไม่ไกลหรอกประมาณครึ่งชั่วโมง (ให้มันจริงเถอะ)

นอกจากหมู่บ้าน Navala แล้วนักท่องเที่ยวยังนิยมเยี่ยมชมตลาดสดเมือง Ba น่าเสียดายที่ตลาดสดขนาดใหญ่ของเมืองไม่เปิดในวันนี้


ที่พอเห็นก็มีผักผลไม้ขายอยู่ในปั๊มประมาณว่าเป็น Tesco Express บ้านเราอะค่ะ บริเวณถนนด้านหน้าปั๊มมีกองเผือกวางขายอยู่ เรียงเป็นกองได้น่าเอ็นดูเชียวค่ะ ดูไกลๆนึกว่ากระปุกหมูออมสิน

ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับหมู่บ้าน Navala ที่หาได้จากหนังสือ Lonely Planet มีเพียงแค่ “จากเมืองบา วิ่งตรงไปจนเจอป้อมตำรวจอยู่ทางซ้าย วิ่งตรงต่อไปจะมีตลาดอยู่ทางขวา พอถึงทางแยกให้แล้วซ้าย ทางขรุขระแต่ก็พอไปได้ เมื่อไปถึงให้ถามหาหัวหน้าเผ่าโดยตามธรรมเนียมให้จ่ายค่าธรรมเนียม 15 FJD หรือนำของกำนัลไปฝาก” ...
เท่านั้นจริงๆค่ะ หลังจากเราแวะเข้าห้องน้ำที่ปั้มในเมืองบาที่ค่อนข้างเงียบสงัดเราก็ออกเดินทางต่อ ทางที่เราวิ่งไปช่วงประมาณ 5 กิโลเมตรแรกยังพอมีรถวิ่งสวนไปมาบ้างค่ะ

และก็มาถึงสะพานไม้ซึ่งสภาพยังพอใช้การได้ ว้าว นี่ขนาดเพิ่งเริ่มทางยังดูมีสภาพไม่น่าไว้ใจขนาดนี้ เราตัดสินใจว่าจะถามทางทันทีถ้าเจอสิ่งมีชีวิตที่พูดได้



... และแล้วเราก็เจอพี่สาวลูกดกที่ยืนอยู่หน้าบ้าน เลยถามทางทันที พี่สาวบอกว่าพอเจอทางแยกตัว Y ให้ไปทางซ้าย ไม่ไกลหรอก ไปอีก 10 ไมล์ (เมื่อกี้คนในเมืองก็พูดแบบนี้ เออ แล้วจะคอยดู)

ผ่านบ้านหลังแรกและหลังสุดท้ายมา ในที่สุดเราก็เห็นป้ายที่เป็นลูกศรในตัวปะอยู่บนต้นไม้เขียนว่า “NAMUA NAVALA” มันต้องเป็นป้ายไปหมู่บ้านแน่ๆ อย่างน้อยคำที่สองมันก็ตรงกับชื่อหมู่บ้านที่จะไป เห็นมั๊ยค่ะว่าความบันเทิงขนาดนี้จะหาไม่ได้เลยถ้ามากับทัวร์




เรามาถึงทางแยกตัว Y ขณะนั้นก็มีรถบรรทุกสีเขียวตามเรามาติดๆ เราตัดสินใจให้พี่เค้าแซงไป ไม่รู้ข้างหน้าจะมีมนุษย์ให้ถามทางหรือเปล่า แล้วจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ว่าแล้วก็ถามคุณพี่คนขับซึ่งมีคุณพี่ผู้หญิงนั่งหน้ามาคู่กัน พลขับเราเอ่ยถาม “หมู่บ้าน Navala ไปทางไหนครับ?” คุณพี่ก็ดีใจหายบอกทันที “ตามเรามา” ใจดีจริงๆ



รถบรรทุกเขียวกับรถโตโยต้าอันติ๊ดของเราเทียบกันไม่ได้จริงๆ เพราะคุณพี่สามารถบึ่งตะบึงไปบนถนนที่ขรุขระสุดขีดเป็นหินกรวดก้อนใหญ่ก้อนเล็กตลอดทาง สภาพถนนเทียบแล้วแย่กว่าที่เขมรและเกาะไหหลำซึ่งทำอิชั้นไส้ครากมาแล้วอะค่ะ มิน่าทำไมทุกทัวร์ที่มาหมู่บ้านนี้ต้องใช้รถ 4WD ระหว่างวิ่งไปเราจะได้ยินเสียงหินดีดใส่ตัวถังรถตลอดเวลา ทำให้เราต้องค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทีละนิดละหน่อย


เราตามหลังคุณพี่ใจดีมาพักนึงก็ถึงทางแยกซึ่งเค้าก็บอกเราว่าต้องแยกกันแล้ว เอาหล่ะซิ เริ่มเสียความมั่นใจ ระหว่างทางน้องแฟรงค์หยุดรถแล้วถามว่าแน่ใจหรือจะไปต่อ ไม่รู้ทางข้างหน้าจะเป็นยังไงแล้วไม่รู้ต้องไปอีกแค่ไหน และที่สำคัญไม่มีรถวิ่งตามเรามาสักคัน มีแค่ช่วงแรกๆ ที่ยังพอเห็นรถสวนอยู่บ้าง ด้วยความที่อิชั้นเป็นคนประเภทฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง aka ดันทุรังโดยเฉพาะเรื่องเที่ยวก็เลยพยายามบอกน้องแฟรงค์ไปว่าไปต่อนะนะ อีกนิดก็คงถึงทั้งๆที่มันไม่มีวี่แววเลยจริงๆค่ะ แต่ทางที่เราผ่านไปก็สวยจริงๆนะค่ะ เป็น Highland


รถวิ่งได้ซักพักเราเห็นแพะหน้าตาน่ารักยืนอยุ่ข้างทางเลยต้องแชะรูปไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย

ผ่านมาได้อีกพักใหญ่มองเห็นสะพานปูนอยู่เบื้องหน้า และแล้วเราก็เห็นคุณน้าคนนึงกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่ในลำธาร และตามที่เราได้ตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าเห็นสิ่งมีชีวิตที่พูดได้ก็ต้องถามทางทันที "ไปอีกไกลไหมน้า?" น้อง Frank ถาม น้าจ๊อกกี้ตอบทันที "อีก 5 miles" โอ้ดูมีความหวัง




รถวิ่งไปอีกพักใหญ่ทันใดเราก็มองเห็นหมู่บ้าน Navala อยู่ไกลๆ





อู๊ย อะไรมันจะลึกลับขนาดนี้ เป็นหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาจริงๆค่ะ แถมมีชัยภูมิมั่นเหมาะเนื่องจากอยู่ริมแม่น้ำ ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ค่ะ สรุปว่าเราขับรถมา 20 กิโลจากป้ายชื่อเมือง Navala ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงเศษค่ะ


ก่อนถึงหมู่บ้านต้องข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำ Ba ก่อน






เมื่อรถจอดหน้าหมู่บ้านมองเห็นเด็กชาย 2-3 คนยืนอยู่ อิชั้นก็เกิดอาการวิตกจริตไปต่างๆนานา เค้าจะต้อนรับเรามั๊ยนะ, วันนี้วันอาทิตย์ซะด้วยขนาดทัวร์ยังไม่มาเลย, แล้วจะไปหาหัวหน้าเผ่าเจอได้ยังไง blah blah ...


ปรากฏว่าทุกปัญหาย่อมได้รับการแก้ไข ทันใดก็มีคุณป้าผมซอยหัวสีดอกเลาเดินรี่เข้ามาหาเรา อิชั้นเลยถามว่า หัวหน้าเผ่าอยู่ที่ไหนค่ะ คุณป้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วมีแต่ caretaker หรือผู้ดูแล
ทางหมู่บ้านคิดค่าเข้าชมคนละ 25 FJD และถ้าอยากได้ guided tour ก็ขอเพิ่มอีก 10 FJD รายได้ไม่เลวจริงๆแพงกว่าที่ระบุไว้ในหนังสืออีกนะเนี่ย เลยแอบต่อรองเล็กน้อย "ในหนังสือเค้าบอกว่า 15 FJD เองป้า" ป้าสวนกลับด้วยสีหน้ามั่นใจข้อมูลเก่าแล้วยะ เอาวะไหนๆก็มาถึงแล้วก็เลยบอกป้าว่าเอา guide ด้วย ป้าบอกเราว่าเดี๋ยวขอแวะเอาเงินไปส่ง caretaker ก่อน


จากนั้นป้าก็เริ่มพาเราเดินชมหมู่บ้าน ลักษณะบ้านของชาวฟิจิเรียกกันว่า Bures เป็นบ้านที่ทำด้วยจากมุงด้วยหลังคาฟางทรงสูงไม่มีเสาตรงกลาง

พอสบโอกาสเหมาะก็เลยถามป้าว่า "โทษนะค่ะขอถามหน่อยว่าทำไมป้าหัวไม่เป็นทรงเห็ดเหมือนคนอื่นๆล่ะคะ" (รับรองว่าถามได้สุภาพมากค่ะไม่มีเคืองแน่นอน) ป้าตอบ "ชั้นเป็นคน Polynisia แต่มาแต่งกับคนฟิจิ" มิน่า ...

คุณป้าไกด์ก็เริ่มพาเดินดูรอบๆหมู่บ้าน ... รายละเอียดของหมู่บ้านชาวฟิจิขออุบไว้ตอนหน้านะคะ ... ขอบคุณที่อดทนรออ่าน blog ที่เขียนได้ช้าที่สุด นับถึงตอนนี้ก็ anniversary พอดีค่ะ แต่มันมีเหตุจริงๆค่า...

Saturday, June 9, 2007

Fiji - Day Cruise-Yasawa Islands (4)

เช้านี้ลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอน 6 โมงครึ่ง ไม่เข้าใจตัวเองเลยค่ะว่าทำไมถึงสามารถตื่นเช้าได้เฉพาะตอนไปเที่ยว เท่านั้นยังไม่พอสามารถเด้งขึ้นจากเตียงโดยไม่มีอิดออด ช่างต่างจากทุกเช้าที่ต้องไปทำงานที่ต้องตบปุ่ม snooze ทุก 5 นาทีเป็นเวลา 1 ชม.เศษถึงจะสามารถลากตัวเองออกจากที่นอนได้ สังเกตุตัวเองมาหลายทริปแล้วค่ะจนมั่นใจว่าเป็นอาการทางจิตอย่างแน่นอน

พอเดินออกไปชมวิวที่ระเบียงห้องถึงได้รู้ว่าเราได้อัพเกรดห้องเป็น ocean view ค่ะ น้องอ. ผู้ที่สามารถตื่นเช้าได้ในทุกสถานการณ์ได้ออกไปเดินสำรวจบริเวณหาดมาเรียบร้อยพร้อมกับบอกว่า พระอาทิตย์ที่ขึ้นทางหาดอีกด้านนึงสวยมากรีบไปดูด่วน อ้อ ต่อไปนี้จะขอเรียกน้อง อ. ว่าน้อง Frank นะคะเนื่องจากตอนที่แล้วถือวิสาสะตั้งชื่อให้ว่าน้อง อ. โดยไม่ได้หารือ อาจจะออกแนวอักษรย่อดาราไปนิดค่ะ เลยขอเปลี่ยนชื่อเป็นน้อง Frank หัวหน้าทัวร์แล้วกันนะคะ

จากห้องพักไปห้องอาหารเช้าเราเลือกทางเดินริมหาด ชายหาดหน้าโรงแรมทรายจะเป็นสีดำเนื่องจากเกาะในฟิจิเดิมทีเคยเป็นภูเขาไฟค่ะและการที่ทรายเป็นสีดำเนื่องจากเกาะนี้ไม่มีแนวปะการังชนิดที่ติดกับฝั่งค่ะ (Fringing Reef) อย่าเพิ่งตกใจว่าอะไรกันหาดดำไม่เห็นจะสวยเลย หาดส่วนใหญ่ในฟิจิจะมีทรายเป็นสีขาวค่ะเนื่องจากเกาะเหล่านั้นมีแนวปะการัง มีเพียงบางหาดที่เป็นประเภทดินดำน้ำชุ่ม


ปกติส่วนใหญ่คงเคยได้ยินคำว่า Great Barrier Reef ใช่ไหมค่ะ Barrier Reef เป็นอีกชนิดนึงของแนวปะการัง แต่ที่ฟิจิจะเป็นประเภท Fringing Reef กับ Atoll ค่ะ ดูจากรูปคงเข้าใจนะคะว่า Fringing Reef เป็นแนวปะการังที่เกิดอยู่รอบๆในแนวขอบเกาะ

ส่วน Atoll นั้น ปกติจะมีรูปร่างกลมหรือรีโดยอาจมีปะการังที่เสื่อมสภาพแล้วกองทับถมกันทำให้เกิดพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล กลายเป็นเกาะซึ่งอาจจะกลายเป็นเกาะถาวรสามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างได้ถ้ามีต้นไม้ช่วยยึดเกาะให้แข็งแรงพอ อย่าเพิ่งเครียดนะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะกระหน่ำข้อมูลด้านวิชาการให้หนักสมอง แต่ความเข้าใจเรื่องการฟอร์มตัวของปะการังที่แตกต่างกันนี้จะทำให้เข้าใจว่าลักษณะเกาะในฟิจิดีขึ้นค่ะ แอบบอกค่ะว่าแค่เพราะความสงสัยว่าทำไมทรายถึงเป็นสีดำเลยลองหาใน google ด้วย key word ว่า "black sand fiji" เท่านั้นหล่ะค่ะลามปามมาขนาดนี้








ประมาณ 7 โมงกว่าพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูงแล้วได้เวลาที่ต้องไปกินอาหารเช้าค่ะ

อาหารที่นี่ก็ใช้ได้ค่ะตามมาตรฐานโรงแรมทั่วไปแต่ที่แปลกกว่าที่อื่นๆ คือตู้แช่ผลไม้กับโยเกิร์ตที่ให้ความรู้สึกราวกับเดินอยู่ใน supermarket ผลไม้ส่วนใหญ่ก็จะคล้ายกับผลไม้ของชาวเราค่ะ ยกเว้นมะละกอซึ่งลูกเล็กกว่าบ้านเราหลายเท่าค่ะสามารถหั่นครึ่งแล้วเอาช้อนตักกินไม่เกินห้าคำหมดค่ะ


พอใกล้ 8 โมงเราก็ออกไปรอที่ด้านหน้าโรงแรมเพื่อรอรถที่จะมารับไปขึ้นเรือ น้อง Frank ติดต่อจองเรือผ่าน Internet โดยเราเลือกนั่ง Cruise ของบริษัท South Sea Cruises เพื่อจะไปยัง Botaira Beach Resort บนเกาะ Naviti ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ Yasawa แบบเช้าไปเย็นกลับ ที่หน้าโรงแรมเราก็แจ้งกับพนักงานโรงแรมว่าเรารอรถของบริษัท ... ที่จะมารับถ้ามาถึงแล้วให้บอกด้วยเพราะมีรถหลายคันกำลังจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ค่ะ ไม่สามารถรู้ได้จริงๆว่าจะมาไม้ไหนค่ะ


... และแล้วรถบัสสีเหลืองคันโตก็มาจอดเทียบ รถคันโตนี้แปลกตาน่ารักดีค่ะมีกระจกเฉพาะด้านหน้ารถบริเวณคนขับแต่หน้าต่างรถในส่วนผู้โดยสารไม่มีกระจกค่ะมีแต่มู่ลี่ผ้าใบสีเขียวม้วนเก็บอยู่สำหรับกันฝน ภายในรถมีร่องรอยว่ารถคันนี้เคยมีแอร์ค่ะ

หลังจากแวะรับนักท่องเที่ยวจากโรงแรมต่างๆ ใน Denerau จนครบรถบัสก็พาเรามายัง Port Denerau เพื่อทำการ check in ค่ะ


สำหรับการเลือก Cruise นั้นจะมีโปรแกรมให้เลือกมากมาย แล้วแต่ว่าสันทัดอยากจะไปเกาะไหน บางโปรแกรมถ้าเป็นวันธรรมดาสามารถไปเยี่ยมชมหมู่บ้านและโรงเรียนบนเกาะ Waya ได้ หรืออยากไปเกาะ Monuriki ที่ถ่ายหนังเรื่อง Cast Away - ทอม แฮงค์ติดเกาะ ก็มีให้เลือก

สาเหตุที่เราเลือกไป Botaira เพราะตั้งอยู่บนเกาะที่ไกลสุดเทียบกับเกาะอื่นๆ ในโปรแกรมที่มีให้เลือกพร้อมกับโฆษณาที่ว่า "Botaira is set on a magnificent sandy beach that sweeps the width of the bay with no other sign of civilisation. It's everything we imagine in our picture postcard images of Fiji." รู้สึกโดนใจกับคำว่าไม่มีวี่แววของความเจริญใดใด ทำให้เกาะนี้ชนะคะแนน vote ไปอย่างขาดลอย 2:0 สนนราคาค่าเรือบวกค่าอาหารกลางวันเป็น lobster ตกคนละ 155 FJD สำหรับเมนูธรรมดา ราคา 130 FJD ค่ะ















พอจัดการ check in เสร็จเราก็เดินไปที่เรือซึ่งหน้าตาเหมือนกับเรือในรูปทางขวาค่ะ ด้านบนเรือจะเป็นดาดฟ้าเปิดโล่งมีเก้าอี้นั่งอยู่ 3 แถวและก็เป็นไปตามความคาดหมายบริเวณนี้ถูกจับจองด้วยฝรั่งที่ชอบตากแดด ตอนแรกก็คิดว่าอยากนั่งบริเวณนี้คงจะเห็นวิวชัดดีเหมาะกับการถ่ายรูป แต่นับว่าโชคดีค่ะที่ที่นั่งเต็ม เราก็เลยต้องเข้าไปนั่งด้านล่างของเรือซึ่งเป็นห้องแอร์ ขืนต้องนั่งตากแดดทั้งวัน คงได้จับไข้แถมหน้าไหม้อีกต่างหาก

ระหว่างที่รอเรือออกก็เริ่มสังเกตุว่าผู้คนส่วนใหญ่จะมีกระเป๋าเดินทางมาด้วยโดยที่กระเป๋าแต่ละใบจะติดป้ายเป็นชื่อเกาะจุดหมายปลายทางที่ต่างๆ กันไป คนที่เดินทางไปเกาะแบบไปเช้าเย็นกลับแบบเรามีเป็นส่วนน้อย นอกจากนักท่องเที่ยวแล้วก็มีชาวฟิจิ อาจเรียกได้ว่าเรือลำนี้เป็นเรือประจำทางที่ผู้คนใช้เดินทางจากไปยังเกาะต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีอันจะกินก็อาจเลือกเดินทางโดยเครื่องบินเล็กหรือเฮลิคอปเตอร์ได้


เรือออกเดินทางจาก Port Denarau ตอน 8 โมงครึ่งค่ะ จากตารางการเดินเรือทำให้ทราบว่าในวันหนึ่งๆเรือลำนี้จะหยุดจอดเพื่อปล่อยคนลงและรับคนขึ้นจากเกาะต่างๆ เกือบทุกเกาะในหมู่เกาะ Mamanuca และYasawa ในขาไปประมาณ 35 resort ค่ะ จากนั้นก็จะเดินทางกลับในเส้นทางเดิม โดยที่แต่ละ resort เมื่อถึงเวลาที่เรือประจำทางจะมาถึงก็จะส่งเรือเล็กมารอเพื่อรับและส่งนักท่องเที่ยวขึ้นเรือค่ะ

พอใกล้ถึงเกาะที่เรือต้องหยุด เจ้าหน้าที่ก็จะประกาศว่าอีก 5 นาที จะถึงเกาะ ... ขอให้ผู้ที่จะลงป้ายนี้ออกไปยืนรอที่ท้ายเรือด้วย


เกาะแรกที่จอด คือ เกาะ South Sea ค่ะ ห่างจาก Port Denarau แค่ 25 นาทีเป็นหนึ่งในเกาะเล็กเกาะน้อยค่ะ เกาะเล็กและแบนแบบนี้ เพราะว่าเป็น ก้อน Atoll เล็กๆค่ะ


คงจำกันได้นะคะตอนแรกที่เกริ่นเกี่ยวกับเรื่องฟิจิไว้ว่าเกาะบางเกาะอาจมีขนาดเล็กกว่าสนามหญ้าบ้านของชาวเรา พูดผิดซะเมื่อไหร่หล่ะคะ ใกล้ๆกันจะมีเกาะ Bounty

เกาะถัดไปคือ Beachcomber ค่ะ เรือทีเห็นในรูปคือเรือของ resort ที่มารอรับนักท่องเที่ยวจากเรือประจำทางค่ะ


การเดินทางขาไปส่วนใหญ่ทะเลจะราบเรียบไม่ค่อยมีคลื่นยกเว้นบางช่วง ขนาดว่าถ้ายืนอยู่อาจจะต้องหาที่ยึดค่ะ เรือแล่นไปเรื่อยหลังจากพ้น เกาะ Beachcomber ก็ต้องไปอีกพักใหญ่ค่ะจนเจอเกาะ Vomo ค่ะช่วงอยู่ในเรือถ้าไม่ถ่ายรูปวิวเล่นก็จะหลับค่ะเพื่อป้องกันการเมาเรือ น้อง Frank ก็ดูอาการไม่ค่อยดีทำท่าจะเมาเรือค่ะ เลยจัดการแจกยาดมให้อันนึง

เรือแล่นมาได้ราว 2 ชั่วโมงก็ถึงเกาะ Waya ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ค่ะรูปร่างแปลกให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในยุคไดโนเสาร์จูราสสิก เกาะช่วงนี้ต่างจากเกาะเล็กๆที่เห็นตอนเริ่มเดินทางเพราะลักษณะการฟอร์มตัวต่างกันไม่ได้เป็นพวกเกาะ atoll ช่วงนี้คลื่นเริ่มแรงค่ะ ขณะที่ยืนอยู่นอกเรือเพื่อถ่ายรูปจะมีละอองคลื่นซัดขึ้นมาตลอดค่ะ



ส่วนปลายด้านหนึ่งของเกาะ Waya รูปร่างเหมือนปิรามิดเลยค่ะ


จากเกาะ Waya เรือแล่นผ่านเกาะ Nanuya Balavu และ เกาะ Drawaqa

ราว 11 โมงครึ่งเราก็ได้ยินเสียงประกาศให้คนที่จะไป Botaira ให้ออกไปยืนรอด้านท้ายเรือ มองเห็นเรือของ Botaira กำลังแล่นเข้ามาเพื่อรับเราขึ้นฝั่ง ขณะที่บน resort พนักงานโรงแรม 3 คนกำลังเล่นดนตรี (เสื้อเขียวสะท้อนแสงในรูป) สงสัยจะเป็นส่วนหนึ่งของการต้อนรับตามธรรมเนียมฟิจิ เจ้าหน้าที่ของเรือที่เรานั่งมาบอกว่าเรือจะกลับมารับเราตอนบ่าย 2 โมงครึ่ง ดังนั้นเรามีเวลาอยู่ที่เกาะนี้ 3 ชั่วโมง



พอเรือเข้ามาเทียบนอกจากคณะทัวร์ชาวไทยแล้วยังมีหญิงชาวเอเซียคาดว่าจะเป็นญี่ปุ่นลงเรือเล็กมากับเราด้วย she ช่างเก่งกล้าจริงๆ ค่ะ going solo กันเลยทีเดียวแถมพกพาหน้ากากสำหรับ snorkel ของตัวเองมาด้วย ไม่ธรรมดา!



พอก้าวลงจากเรือปุ๊บเราก็ได้รับการต้อนรับโดยการสวมมาลัยดอกไม้ทำจากดอกชบากับดอกลั่นทมค่ะจากพนักงานต้อนรับผู้ใจดี


ผ่านพิธีต้อนรับเราก็เดินเข้ามาในส่วน lobby ของ
resort ซึ่งเป็นโครงไม้ไผ่เปิดโล่งครอบอยู่บนพื้นหาดทรายค่ะ น่ารักอีกแล้วค่ะ พนักงานสาวคนที่สวมมาลัยให้เราก็เริ่มต้นอธิบายว่า นอกจากอาหารกลางวันที่พร้อมจะเสริฟทุกเมื่อที่เราต้องการ เราสามารถ snokelling หรือ เดินเล่นรอบๆ เกาะหรือเดินขึ้นเขาด้านหลัง resort ก็ได้ จากการนั่งเรือมา 3 ชั่วโมงแม้ไม่ถึงกับเมาเรือมากนักแต่ก็รู้สึกคลื่นไส้ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกินอะไรเข้าไปในตอนนี้ เราเลยเลือกที่จะไป snorkelling ก่อนค่ะ อีกสัก 1 ชั่วโมงค่อยมากินกลางวัน




ก่อนจะไป snorkelling ได้เราก็ต้องยืมอุปกรณ์จากที่นี่ค่ะ พนักงานชายก็เดินนำเราไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์ reception พ่อหนุ่มยื่นหน้ากากกับตีนกบให้เราพร้อมบอกว่า "ออกไป เซ็นชื่อ"

สังเกตุว่าคนฟิจิจะใจดีมีมนุษย์สัมพันธ์ ดูซื่อๆ แต่ขาดความอ่อนโยนไปนิดค่ะ ที่จริงเค้าต้อนรับเราขนาดนี้นี่ก็ถือว่าดีแล้วนะคะ

ในอดีตคนฟิจิยังกินคนอยู่เลยค่ะเลิกกินมาได้ราวร้อยกว่าปีนี่เอง (เค้าไม่จับแกกินก็บุญแล้วยังจะเรื่องมากอีก) การกินศัตรูถือเป็นการล้างแค้นที่สะใจที่สุดค่ะ ขนาดมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการกินคนด้วยนะคะ เช่น ส้อมยักษ์ เพราะถือว่าไม่สุภาพที่จะกินคนด้วยมือเปล่า กับ ที่หักคอมนุษย์ (อุปกรณ์ในมือชายคนขวา) รูปเก่าที่เห็นนี้เป็นฟิจิกินคนยุคสุดท้ายราว ปี ค.ศ.1872 ซึ่งถูกชาวอเมริกันไถ่ตัวมาจากศัตรูเผ่าตรงข้าม (ก่อนจะถูกกิน) เพื่อไปเดินสายทัวร์กับคณะละครสัตว์ที่อเมริกาเป็นเวลา 3 ปีค่ะ นึกๆแล้วก็น่าสงสารนะค่ะ เพราะบางคนต้องจบชีวิตในระหว่างนั้นเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นแต่พวกเค้าไม่ยอมใส่รองเท้าและเสื้อผ้าเนื่องจากความกลัว ... อดนึกถึงแฝดสยามอินจันของไทยที่ถูกซื้อตัวไปเพื่อแสดงตามละครสัตว์ที่ชะตากรรมคล้ายกันเนื่องจากพวกมะกันเห็นเป็นของแปลกแต่ตอนจบของแฝดสยามเป็นประเภท happpily ever after ค่ะ

"ก็ไหนบอกว่าให้เซ็นชื่อแล้วมัวยืนรออะไรกัน เวลายิ่งน้อยๆ อยู่" เริ่มบ่นเป็นภาษาชาวเรายังไงก็ไม่มีทางฟังรู้เรื่อง ว่าแต่อีตา 3 หนุ่มกำลังง่วนหาอะไรกันนะ เราก็เลยต้องส่งภาษาถามว่านี่เรากำลังรออะไรอยู่

"We have no pen on this island - ไม่มีปากกา (ที่ใช้ได้) บนเกาะนี้" ... "WHAT ! #$%&**" (คิดในใจ) น้อง Frank ยืนยันภายหลังว่าเห็นซากปากกาอยู่แต่มีแต่ไส้ปากกา นับว่าเป็นบุญที่น้อง Frank ยังมีปากกาที่ยืมมาจากสายการบินชาวเรา (ยืมมานานมากๆ) ยื่นปากกาให้พร้อมเสริมว่ามาจากเมืองไทยเชียวนะยู


เซ็นชื่อสำเร็จก็ได้เวลาลงน้ำดำผุดดำว่ายแล้วค่ะ น้ำใสน่าเล่นมากๆ ไม่ต้องไปไกลห่างจากหาดไม่ถึง 10 เมตรก็สามารถเห็นปลาสีสวยๆเยอะมากๆค่ะ ระหว่างที่กำลัง snorkelling อยู่นั้นก็เกิดอาการรักตัวกลัวตายเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่านี่เราไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพอยู่เหรอเนี่ย (ตอนเค้าหยิบอุปกรณ์ให้ก็ไม่ทันคิดมัวแต่หาปากกา) มิน่าพอน้ำลึกยืนไม่ถึงปอดก็เริ่มแหกเลยค่ะ ไม่ไหว ถอยขึ้นบกไปตั้งหลักก่อนดีกว่า ก่อนหน้านั่นน้อง Frank เพิ่งชี้ให้ดูบริเวณที่มีปลาและแนวปะการังที่มีลักษณะคล้ายเหวเป็นหลืบๆ อยู่เรียงรายกันสวยงามจริงๆค่ะ ต้องไปเอาเสื้อชูชีพก่อนค่ะแล้วค่อยกลับมาลุยใหม่


หลังจากเล่นน้ำจนพอใจ ก็ได้เวลามื้อเที่ยงค่ะ อาหารตั้งรออยู่บนโต๊ะบริเวณริมทะเล พนักงานโรงแรมก็ยังเล่นดนตรีขับกล่อมเราต่อไป สังเกตุขนาดกีตาร์ของคนนั่งกลางนะค่ะ น่ารักสมตัวจริงๆ
นักเดินทางหญิงเดี่ยวชาวอาทิตย์อุทัยนั่งทานอาหารอยู่ก่อนหน้าเราแล้ว ขอเรียกเธอว่ามิสจัมไมนะค่ะ เราต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเธอค่ะ นั่งลงปุ๊บก็ทักทายตามมารยาทค่ะ


อาหารจานแรกเป็นอาหารพื้นเมืองฟิจิค่ะเป็นปลาหมักในน้ำมะนาวแล้วต้มในกะทิเสริฟในมะพร้าวหน้าตาน่าทานแต่กลับไม่ค่อยถูกปากชาวเราตามเคยค่ะเหมือนกินต้มข่าไม่ใส่พริกยังไงยังงั้น

นับว่ายังโชคดีนะคะที่เราเลือก lobster meal เป็น lobster เผาราดน้ำจิ้มไก่แม่พลอยค่ะ มิสจัมไมสั่งอาหารธรรมดาท่าทางจะไม่อร่อยค่ะ















ระหว่างที่เรากำลังกินอาหารอยู่นั้น มิสจัมไมก็ถามขึ้นด้วยภาษาปะกิดสำเนียงตะกุกตะกักว่า
มิสจัมไม: "You are married couple ? - พวกเธอเป็นสามีภรรยากันเหรอ (เสียงสูงแบบสอดรู้สอดเห็น)?"
เรา: "NO - ไม่ใช่ (พร้อมกัน)"
มิสจัมไมผู้มีความพยายามสูงสวนกลับทันที
มิสจัมไม: "Boyfriend ? - งั้นก็เป็นแฟนซิ ?"
เรา: "NO - ไม่ใช่ (พร้อมกันเสียงสูง)"
ไม่รู้ต่อไป she จะเดาอะไรอีกเลยรีบต่อว่า

"We are colleague. - เราทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน"
งานนี้มีอึ้งค่ะสงสัยจะ advance ไปเอาไงดี ต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษเสียแล้ว
"Office worker, you know?"
มิสจัมไม: "Oh! Congratulations!"

... เอ่อ คือว่า ...ในบางสถานการณ์ความเงียบดูจะเหมาะสมที่สุดค่ะ คือถ้าไร้มารยาทก็คงจะขำกลิ้งแล้วพูดว่า "ตูจะบ้า" แต่เพื่อความสัมพันธ์อันดีของประเทศทั้งสอง เราจึงก้มหน้าก้มตากินกุ้งยักษ์กันต่อไป

สักพักก็ถึงช่วงเอาคืนค่ะ เลยยิงคำถามกลับ "แล้วเธอหล่ะแต่งงานหรือยัง" อยากยุ่งกับชั้นดีนัก คำตอบที่ได้คือ she แต่งงานแล้วค่ะ ก็เลยต้องถามกลับว่า อ้าว แต่งแล้วทำไมมาเที่ยวคนเดียวสามีอะทำไมไม่พกมาด้วย มิสจัมไมตอบว่ามาเรียนภาษาอังกฤษที่ฟิจิ 3 เดือนกำลังจะกลับญี่ปุ่น เอ่อ ถ้าเจอเธอก่อนหน้านี้ 3 เดือนคงจะอลหม่านกว่านี้ค่ะ ระหว่างที่คุยกัน she ก็หยิบ dictionary แบบพกพาขึ้นมา เออให้มันได้อย่างนี้ซิ อีตอนก่อนหน้าไม่รู้จักใช้ colleague อะรู้จักไหม ...
หลังจากอิ่มแล้ว มิสจัมไมก็อ้อนวอนจะถ่ายรูปคู่ระหว่างชั้นกับน้อง Frank ไหนๆก็ไหนๆแล้วตามใจ she นิดนึง

จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นรอบๆ resort ค่ะยังพอมีเวลากว่าเรือจะมารับเราที่พักที่นี่จะเป็นกระท่อม style ฟิจิค่ะ ต้นไม้บนเกาะนี้มีหลากหลายค่ะเช่น มะละกอ, ลูกยอ















ระหว่างรอเรือมารับก็ไปนั่งคุยกับพี่สาวที่คล้องมาลัยให้คาดว่าจะเป็น ปชส. ของ resort ได้ความว่าพนักงานใน resort นี้เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมมาจากหมู่บ้านซึ่งอยู่อีกด้านนึงของเกาะค่ะ ตอนเช้าก็เดินข้ามเขามาทำงาน

ขากลับมีนักท่องเที่ยวที่เพิ่ง check out จาก resort จะกลับเกาะ Viti Levu กับเราอีกหลายคน ก่อนขึ้นเรือเราตัดสินใจกินยาแก้เมาเรือที่เตรียมมาเพราะเห็นถ้าจะแย่แน่ๆ ค่ะ แล้วก็จริงดังคาดคลื่นแรงมากๆ นี่เรานั่งเรือหรือเล่นรถไฟเหาะอยู่นี่ พอยาออกฤทธิ์เราก็หลับรวดเลยค่ะ ตื่นอีกทีพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว


พอขึ้นฝั่งที่ Port Denerau ก็เกือบทุ่มนึงแล้วค่ะ พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วค่ะ เรารีบเดินไปขึ้นรถบัสกะว่าจะได้กลับโรงแรมเร็วๆ ปรากฏว่าต้องรออีกพักใหญ่เลยค่ะว่ารถจะออก


มื้อเย็นเราตัดสินใจกินที่โรงแรมที่พักเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้วค่ะ เรากลับไปที่ร้านเดิมที่เราไปวันแรกแล้วเต็ม เลือกที่นั่งริมสระน้ำค่ะ อาหารก็เป็นอาหารฝรั่งซึ่งไม่ถูกปากเราเช่นเคย เลิกหวังเลยค่ะว่าอาหารจะอร่อย


ระหว่างที่เราทานอาหารกันอยู่นั้นพนักงานประมาณ 10 คนก็เดินมายืนรอบๆโต๊ะของสองสามีภรรยาฝรั่งที่นั่งไม่ไกลจากโต๊ะเรามากนัก พร้อมกับร้องเพลงพื้นเมืองเพราะมากๆค่ะเสียงร้องราวกับเสียงดนตรี คุณป้าดูจะซาบซึ้งมากทำท่าจะร้องไห้ ...

พอเพลงจบด้วยความสงสัยก็เลยถามพนักงานคนนึงว่าร้องให้เนื่องในโอกาสอะไร คำตอบคือ พวกเค้าจะ check out พรุ่งนี้ ประทับใจจังค่ะ น้อง Frank เลยถามว่า "แล้วเค้าจะร้องให้เราบ้างไหม?" แหมกินแค่มื้อเดียวสั่งแค่ 2 จานเค้าคงไม่ร้องให้เราหรอกน้องเอ๋ย

หลังอาหารเราก็ตกลงว่าพรุ่งนี้จะเช่ารถเพื่อไปเที่ยวหมู่บ้าน Navala หมู่บ้านชาวฟิจิแห่งสุดท้ายบนเกาะนี้ ดูจากโปรแกรมทัวร์ที่จัดกันจะคิดค่าทัวร์คนละ 150 FJD แต่ยังไงเราก็ไปทัวร์ไม่ได้เพราะไม่มีทัวร์ในวันอาทิตย์ แถมค่าเช่ารถพร้อมน้ำมันก็ต้องถูกกว่าค่าทัวร์ 2 คนอยู่แล้วแต่ที่น่าเป็นห่วงคือทำไมทัวร์ทุกเจ้าที่ไปต้องใช้รถ 4WD คิดไปก็ป่วยการ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ ...