Friday, June 8, 2007

Fiji - Greeting "Bula" (3)

ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง ... เก็บของรดน้ำต้นไม้เสร็จก็จัดการลากกระเป๋าเดินไปสถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปสนามบิน มีนัดกับน้องอ.หัวหน้าทัวร์ซึ่งเดินทางมาสมทบจากต่างเมืองตอน 11 โมง ถึงสนามบินปุ๊บ จังหวะที่กำลังมองหาจอมอนิเตอร์เพื่อดูว่า flight FJ910 ต้องไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ไหน น้องอ. ก็โผล่พรวดมาบอกว่าแถวเช็คอินที่ยาวเฟื้อยตรงหน้าคือคิวของสายการบิน Air Pacific สงสัยที่คนเยอะขนาดนี้เพราะแต่ละวันจะมี flight ตรงแค่ 1 เที่ยวจากซิดนีย์ประกอบกับเป็นวันหยุดยาว ระหว่างต่อคิวซึ่งขยับทีละคืบก็ได้แต่มองดูผู้คนที่จะลงเรือ(บิน)ลำเดียวกัน ผู้คนที่เดินทางไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 พวก พวกแรกเป็นพวกนักท่องเที่ยวซึ่งหอบลูกจูงตุ๊กตา, กระดาน windsurf กับอีกพวกซึ่งคาดว่าจะไปเยี่ยมญาติส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดียมากันเป็นกลุ่มใหญ่พวกนี้จะแบกถุงโบ๊เบ๊ใบใหญ่แถมด้วยกล่องเครื่องใช้ไฟฟ้า ช่วงออก Boarding Pass เจ้าหน้าที่สายการบินบอกว่าเที่ยวบินนี้เต็มพร้อมกับส่งเราไปนั่งเก้าอี้แถวท้ายสุดบริเวณหางเครื่องบิน หลังจากผ่านอิมมิเกรชั่นเรียบร้อยเราก็จัดการหาข้าวกิน จากนั้นก็เริ่มมองหาเสบียงที่จะพกพาไปฟิจิเพราะ กว่าจะไปถึงก็เกือบทุ่มตรงเวลาฟิจิซึ่งเร็วกว่าซิดนีย์ 2 ชม.

พวกเน้นแป้งเป็นแหล่งพลังงานอย่างเราตัดสินใจซื้อโดนัท Krispy Kreme ชิ้นละกว่า 60 บาท แพงขนาด งานนี้กะจะทุ่มทุนสร้างซื้อซัก 4 ชิ้นคงพอ แต่ช้าก่อนถ้าซื้อ 1 โหลราคาต่อชิ้นเหลือ 40 บาท ว่าแล้วความหงกก็สั่งสมองว่าซื้อโหลนึงเลย ประเภทเหมาโหลถูกกว่า คงเพราะกลยุทธ์การตลาดแบบนี้มั๊งคะทำให้โดนัทยี่ห้อนี้ขายดิบขายดี

ช่วงนี้อากาศที่ซิดนีย์ไม่ดีเนื่องจากมีพายุเข้าตั้งแต่คืนก่อนลมแรงและฝนตกหนักนับว่ายังโชคดีที่เที่ยวบินของเราสามารถออกเดินทางได้ตรงเวลาอีกประมาณ 4 ชม. ก็จะถึงฟิจิแล้ว ก้าวแรกที่เท้าแตะเครื่องบินพนักงานต้อนรับก็พูดว่า "Bula" หรือ สวัสดีค่ะ เป็นคำทักทายยอดนิยมของฟิจิ รู้ไว้ไม่เสียหายเพราะต่อไปต้องใช้อีกบ่อยๆ

น้องอ.หัวหน้าทัวร์บอกว่าเครื่องบินลำที่เรานั่งเป็นเครื่องเก่าที่เช่ามาจากสิงคโปร์แอร์ไลน์ยังพอเห็นหลักฐานได้จากโลโก้ของเครื่องบินยี่ห้อเดิมที่ติดอยู่ในห้องน้ำ เก้าอี้ถัดจากเราตอนก่อนเครื่องจะขึ้นก็มีคนนั่งอยู่ทั้ง 2 ที่ อ้าวแล้วนั่นจะย้ายไปไหน ... เสร็จเรา จะได้นั่งเหยียดยาว 2 คน 4 เก้าอี้ ไว้รอเครื่องขึ้นจนได้ระดับค่อยขยับขยาย พอสัญญาณรัดเข็มขัดดับลง พนักงานต้อนรับบนเครื่องชาย 2 คนก็เดินมาที่เก้าอี้ว่างทั้ง 2 ตัวพร้อมกับถอดเบาะของเก้าอี้ตัวนึงออกแล้วจัดการติดเข็มขัดนิรภัยให้กับเก้าอี้ตัวปัญหา เพิ่งถึงบางอ้อค่ะว่าที่ผู้โดยสารต้องย้ายไปเพราะเก้าอี้ตัวนึงไม่มีเข็มขัด อึ้งไปเล็กน้อย พอซ่อมเสร็จก็ไปอัญเชิญผู้โดยสาร 2 คนนั้นกลับมานั่งที่เดิมค่ะ

อาหารบนเครื่องเป็นปลาต้มกับกะทิปรุงรสด้วยมะนาวเป็น อาหารฟิจิรสชาติแปลกไม่ค่อยถูกปากทานได้คนละนิดหน่อย ทำให้รู้สึกว่าอาหารของสายการบินแห่งชาวเราอร่อยขึ้นมาทันทีค่ะ


สักพักพนักงานสาวก็เอาบัตรเข้าเมืองมาแจกเป็นบัตรเข้าเมืองที่ต้องกรอกยาวประมาณแบบสอบถาม มีคำถามแปลกๆเช่น "คุณมีเสื้อผ้า เครื่องนอนมือสองที่นำมาเพื่อจำหน่ายหรือแจกจ่ายเพื่อการกุศลหรือไม่ ?" , "คุณต้องการเข้าประเทศฟิจิเพื่อทำการเผยแพร่ศาสนา ?"


ประเทศที่เป็นเกาะจะเข้มงวดในการนำเข้าอาหาร ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เนื่องจากไม่ต้องการให้มีแมลง หนอน หรือโรคติดต่อจากต่างแดนแฝงตัวเข้ามากับอาหารเหล่านั้นซึ่งสามารถทำลายระบบนิเวศของเกาะนั้นๆ ได้ หนึ่งในคำถามมีว่า "คุณนำอาหารไม่ว่าชนิดใดๆเข้ามาในฟิจิ ?" อย่างนี้เราก็ต้องตอบ "Yes" ซิเพราะโดนัทก็เป็นอาหาร กรี๊ด เริ่มเกิดอาการวิตกจริตเมื่อแอร์สาวประกาศย้ำว่าห้ามนำอาหารเข้าฟิจิถ้าไม่แน่ใจก็ให้โยนทิ้งก่อนถึงด่านตรวจ เสี่ยงเป็นเสี่ยงกันแต่เราก็ตกลงกันว่าถ้าเค้าไม่ให้เอาเข้าไปด้วยก็จะขอยืนกินซักคนละ 2-3 ชิ้นตรงหน้าเครื่อง x-ray นั้นแหละ


ไม่นานกัปตันก็ประกาศว่าเครื่องกำลังจะลงที่ สนามบิน Nadi ฟิจิ รัดเข็มขัดโลด เสียดายที่ข้างนอกมืดแล้วไม่งั้นคงได้เห็นเกาะเล็กเกาะน้อยจากทางหน้าต่าง

สัมผัสแรกเมื่อเดินออกจากตัวเครื่องให้ความรู้สึกราวกับอยู่ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอหัวหิน เป็นระเบียงยาวโปร่งสีขาวไม่ติดแอร์ถูกใจมากๆค่ะ ทางเดินนำเราเข้าสู่โถงขาเข้าของสนามบินที่สุดเก๋ มีการบรรเลงเพลงชาวเกาะโดยสามหนุ่มทรีโอชาวฟิจิเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว



ระหว่างที่กำลังต่อแถวที่ค่อนข้างยาวคดเคี้ยวเพื่อรอตรวจคนเข้าเมือง ก็มีหนุ่มชาวฟิจิเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าพวกเราแล้วถามน้อง อ. ว่า "Are you Frank?" เหวอเลยค่ะทำไมมีฝาหรั่งยืนอยู่เกลื่อนดูมีแววว่าเป็น ตา Frankได้ ดันมาถามน้อง อ.หน้าตาก็ดูลุคไทยขนาดนี้ เซย์โนกันแทบไม่ทันเลยค่ะ ถ้าน้องอ.เป็น Frank ได้เดี๊ยนก็ชื่อซาร่าห์ได้ฮ่า แต่จะว่าไปยังมีคนไทยบางคนตั้งชื่อให้ตัวเองว่าซิเนตร้า อิอิมีพาดพิง

ผ่านจากด่านตรวจซึ่งนักท่องเที่ยวชาวเราได้รับอนุญาติให้อยู่ในฟิจิได้ 4 เดือนก็ถึงด่านตรวจกระเป๋า ตกลงโดนัทที่เราหอบหิ้วมาผ่านฉลุยค่ะเจ้าหน้าที่เครื่อง x-ray แค่มีการซุบซิบถามกันเล็กน้อยว่าอะไรอะ

ออกมาปุ๊บเราก็เรียก Taxi ไปโรงแรม "Westin" ซึ่งอยู่บนเกาะ Denarau ห่างจากสนามบินราว 20 นาที Taxi ที่นี่ไม่ใช้มิเตอร์ราคาจะเหมาตามระยะทาง จากสนามบินไปโรงแรมเค้าคิดที่ 22 FJD ตกประมาณ 500 บาทค่ะรถเก่าสุดสุดค่ะเป็นรถโตโยต้าชนิดที่สูญพันธ์ไปจากเมืองไทยแล้วแต่ยังซิ่งได้ฉลุย ถนนที่ฟิจิจะเป็นถนนลาดยาง 2 เลนสวน สองข้างทางจากสนามบินก็มีทั้งบ้านคนร้านค้าและโรงแรมเล็กๆอยู่บางตาดูค่อนข้างเงียบมาถึงถนนช่วงสุดท้ายก่อนถึงเกาะ Denarau 2 ข้างทางมืดมากๆค่ะไม่มีบ้านคนไม่มีไฟถนน โชเฟอร์ก็ใส่ตีนผีเร่งเครื่องเต็มที่นำเราพุ่งทะยานสู่ความมืดจนมาสุดเขต Nadi ก่อนจะข้ามสะพานเล็กๆ เพื่อข้ามไปเกาะ Denarau


บนเกาะนี้จะมีโรงแรมที่เราคุ้นๆชื่อตั้งอยู่เช่น Sofitel, Hilton, Sheraton และแล้วรถก็พาเรามาถึง โรงแรม Westin Denarau Island Resort & Spa ส่วนที่เห็นในรูปเป็นโถงทางเข้าโรงแรมค่ะลักษณะสถาปัตยกรรมจะเป็นหลังคาทรงสูงมุงจากคล้ายกับหลังคาของบ้านชาวฟิจิ ลงจากรถปุ๊บพนักงานชายชื่อชาลี (ผู้ชายคนที่มีห้อยเปลือกหอยตัวเบ้อเริ่มไว้ที่คออะค่ะ - รูปล่าง) ก็ทักทายเราตามธรรมเนียมว่า "Bula" บูล่ามาเราก็บูล่าไป ผู้หญิงฟิจิทุกคนจะทำผมทรงเดียวกันหมดค่ะ เป็นทรงเห็ดค่ะ (รูปล่างเช่นกัน) ตลอดทางที่เดินไปทุกครั้งที่พนักงานเห็นเราก็จะทักว่า Bula ตลอด ด้วยความมีมารยาทเราก็ต้อง Bula กลับ เฮ้อ ชักเริ่มเหนื่อย




หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเราก็เดินค่อนข้างไกลเพื่อเข้าสู่ห้องพัก ที่พักที่นี่เป็นเรือนแถว 2 ชั้นมีหลายตึกมาก ก่อนถึงห้องพักเริ่มจะสังเกตุว่าที่นี่จิ้งจกเยอะมากค่ะ เป็นจิ้งจกเกาะ นอกจากจิ้งจกน้องอ.ยังชี้ให้ดูแมลงสาป โอ้ตัวใหญ่ดูแข็งแรงจริงๆ แบบนี้บินได้แหงๆ เกาะอยู่ขอบประตูห้องพักเลยค่ะ เปิดประตูห้องเข้าไปปุ๊บ เอ๊ะนั่นอะไรตั้งอยู่กลางห้อง น้องอ.เป็นคนเห็นก่อนพร้อมพูดขี้นว่า "เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า"


มันคือกรงเด็กเอ๊ยเตียงเด็กค่ะ เป็นครั้งแรกที่เห็นโรงแรมเสริฟเตียงเด็กในห้องพัก พอพนักงานขนกระเป๋ามาส่งที่ห้อง น้องอ. รีบบอกให้ช่วยเอาออกไปเก็บด้วย พนักงานผู้รอบคอบมีการถามย้ำ "You have no baby ?" เอ่อ ... แล้วเห็นฉันพกเด็กมาไม๊!!


ห้องพักที่นี่ตกแต่งสวยใช้ได้ค่ะ หมอนกับผ้าห่มนิ่มสุดๆค่ะเป็นขน down ได้ข่าวว่าโรงแรมนี้เพิ่งตกแต่งใหม่ด้วยงบประมาณหลายอยู่ค่ะ

หลังจากพักผ่อนตามอัธยาศัย
ก็ได้เวลาหาข้าวกิน ร้านอาหารแรกในโรงแรมที่เราเดินไปดูตั้งอยู่ริมทะเลค่ะเป็นร้านสเต็กแต่พนักงานต้อนรับบอกว่าเต็ม เวลาตอนนั้นก็ประมาณ 2 ทุ่มครึ่งแล้วค่ะ เลยตัดสินใจไปกินกันที่ Sheraton โดยนั่ง Bula Bus ซึ่งเป็นรถรับส่งระหว่างโรงแรมในเขต Denarau

ร้านอาหารที่เราเลือกอยู่ติดทะเล พนักงานนำเรามาที่โต๊ะตัวนึงซึ่งดูจากรูปการณ์แล้วเพิ่งมีคนทานเสร็จเนื่องจากยังมีเศษซากอาหารอยู่บนโต๊ะ เช็ดโต๊ะซะทีซิค่ะจะได้นั่ง นึกในใจ ทันใดนั้นพนักงานคนเดิมก็ยกแผ่นรองจานขึ้นแล้วปัดด้วยความเร็วสูงไปที่วัตถุบนโต๊ะ ... เป็นอันเสร็จการทำความสะอาดสไตล์ฟิจิ ... ทั้งอึ้งทั้งขำค่ะ

อาหารมื้อแรกที่ฟิจิเราสั่งสลัดกับ Pizza ถือว่าสอบไม่ผ่านค่ะ กินข้าวเสร็จก็เดินย่อยไปที่ชายหาด ที่นี่ท้องฟ้ามืดสนิททำให้มองเห็นดาวระยิบระยับยุบยิบเต็มไปหมดเลยมีทางช้างเผือกด้วยค่ะ จากนั้นเราก็ค่อยๆเดินกลับที่พัก พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามากๆ เพราะจะมีรถมารับไปขึ้นเรือเพื่อไปเกาะตอน 8 โมงเช้า วันนี้จบเท่านี้นะคะ

1 comment:

Unknown said...

Krispy Kreme my loveeeeeee!!! :D

arrival card ของ Fiji เค้าสวยดีนะคะ ดูหรูหรามากๆ .. เย้ เย้.. ในที่สุดก็ถึง Fiji แล้ว