จากเมือง Nadi จุดหมายแรกของเราคือเมือง Lautoka ซึ่งห่างจากเมือง Nadi ไปราว 16 km โดยถนนที่นำเราไปยังเมือง Lautoka นั้นจะเป็นถนนราดยางสองเลนบางช่วงเรียบบางช่วงขรุขระ ถนนช่วงแรกจะเลาะเรียบชายฝั่งไปเรื่อยๆสามารถมองเห็นทะเลสีฟ้าเขียวพร้อมเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่ไกลๆ
พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นไร่อ้อยแม้กระทั่งรางรถไฟเล็กๆที่เราเห็นก็มีไว้สำหรับขนอ้อยไปยังโรงงานน้ำตาล เมือง Lautoka ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลักที่ผลิตน้ำตาลของฟิจิ
ขอย้อนไปเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของฟิจิสักเล็กน้อยนะคะ เมื่อครั้งที่ฟิจิตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษใหม่ๆเกิดความต้องการคนงานจำนวนมากเพื่อมาทำงานในอุตสาหกรรมน้ำตาล หลังจากที่ลองใช้บริการของชาวเกาะโซโลมอนและชาวจีนแต่ผลที่ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจทำให้มีการตัดสินใจนำเข้าคนงานชาวอินเดีย เรือลำแรกที่บรรทุกคนงานชาวอินเดียมาถึงฟิจิในปีค.ศ. 1879 โดยที่คนงานเหล่านี้ได้เซ็นสัญญาทำงานเป็นเวลา 5 ปีซึ่งหลังจากนี้ทุกคนมีสิทธิจะกลับไปยังแดนภารตะปรากฏว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ต่อ ทำให้ในราวปีค.ศ. 1916 มีชาวอินเดียอยู่ในฟิจิเป็นจำนวนมากและเป็นบรรพบุรษของชาว Indo-Fijian ในปัจจุบัน
ระหว่างทางเราสังเกตุว่าฟิจิมีการกำหนดความเร็วสูงสุดทั่วประเทศไว้ที่ 80 กม. ต่อชั่วโมง ดูจากสภาพบ้านเมืองและสภาพถนนแล้วเราก็มีความเห็นตรงกันว่าคงไม่มีกล้องตรวจจับความเร็วประเภทหยุมหยิมโรคจิตแบบที่เมืองจิงโจ้เป็นแน่แท้
เมื่อเข้าใกล้เมือง Lautoka สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
เริ่มจะมีผู้คนและโรงงานน้ำตาล ข้างทางมีการวางขายปลาทะเลสดๆ และพืชผักโดยชาวพื้นเมือง
พอเรามาถึง Downtown ของเมืองก็พบกับเมืองที่มีสภาพราวกับเมืองร้างเนื่องจากไม่มีร้านค้าไหนเปิดขายเลยในวันอาทิตย์ ความตั้งใจเดิมที่จะแวะเมืองนี้ก็เลยต้องล้มไป เราจึงเดินทางต่อไปยังเมือง Ba ซึ่งอยู่ห่างไปอีก 20 km
ระหว่างทางเราเห็นชาวฟิจิแต่งตัวด้วยชุดที่เป็นทางการที่สุดเพื่อไปโบสถ์ ผู้ชายจะใส่สูทเต็มยศพร้อมนุ่งกระโปรงหรือโสร่งยาวระดับเข่า
พอเรามาถึงเมือง Ba ก็พบว่าเมืองนี้ยังพอมีร้านค้าเปิดขายของบ้าง มารู้ภายหลังว่าคนในเมืองนี้เป็นพวก Indo-Fijian ซึ่งเป็นชาวอินเดียดั้งเดิมที่นับถือฮินดิ จึงไม่ต้องไปโบสถ์เหมือนชาวฟิจิที่ส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ มิน่าร้านรวงที่นี่ยังพอมีภาษาอินเดียให้เห็น
เราหยุดแวะถามทางพร้อมเข้าห้องน้ำกันในปั๊มน้ำมันแห่งเดียวในเมือง Ba ด้านหลังของปั๊มมีลำธารเล็กๆ พร้อมเรือสีแม่สีจอดอยู่หลายลำ เจ้าของปั๊มบอกเราว่าหมู่บ้าน Navala ไปอีกไม่ไกลหรอกประมาณครึ่งชั่วโมง (ให้มันจริงเถอะ)
ที่พอเห็นก็มีผักผลไม้ขายอยู่ในปั๊มประมาณว่าเป็น Tesco Express บ้านเราอะค่ะ บริเวณถนนด้านหน้าปั๊มมีกองเผือกวางขายอยู่ เรียงเป็นกองได้น่าเอ็นดูเชียวค่ะ ดูไกลๆนึกว่ากระปุกหมูออมสิน
ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับหมู่บ้าน Navala ที่หาได้จากหนังสือ Lonely Planet มีเพียงแค่ “จากเมืองบา วิ่งตรงไปจนเจอป้อมตำรวจอยู่ทางซ้าย วิ่งตรงต่อไปจะมีตลาดอยู่ทางขวา พอถึงทางแยกให้แล้วซ้าย ทางขรุขระแต่ก็พอไปได้ เมื่อไปถึงให้ถามหาหัวหน้าเผ่าโดยตามธรรมเนียมให้จ่ายค่าธรรมเนียม 15 FJD หรือนำของกำนัลไปฝาก” ...
เท่านั้นจริงๆค่ะ หลังจากเราแวะเข้าห้องน้ำที่ปั้มในเมืองบาที่ค่อนข้างเงียบสงัดเราก็ออกเดินทางต่อ ทางที่เราวิ่งไปช่วงประมาณ 5 กิโลเมตรแรกยังพอมีรถวิ่งสวนไปมาบ้างค่ะ
และก็มาถึงสะพานไม้ซึ่งสภาพยังพอใช้การได้ ว้าว นี่ขนาดเพิ่งเริ่มทางยังดูมีสภาพไม่น่าไว้ใจขนาดนี้ เราตัดสินใจว่าจะถามทางทันทีถ้าเจอสิ่งมีชีวิตที่พูดได้
... และแล้วเราก็เจอพี่สาวลูกดกที่ยืนอยู่หน้าบ้าน เลยถามทางทันที พี่สาวบอกว่าพอเจอทางแยกตัว Y ให้ไปทางซ้าย ไม่ไกลหรอก ไปอีก 10 ไมล์ (เมื่อกี้คนในเมืองก็พูดแบบนี้ เออ แล้วจะคอยดู)
ผ่านบ้านหลังแรกและหลังสุดท้ายมา ในที่สุดเราก็เห็นป้ายที่เป็นลูกศรในตัวปะอยู่บนต้นไม้เขียนว่า “NAMUA NAVALA” มันต้องเป็นป้ายไปหมู่บ้านแน่ๆ อย่างน้อยคำที่สองมันก็ตรงกับชื่อหมู่บ้านที่จะไป เห็นมั๊ยค่ะว่าความบันเทิงขนาดนี้จะหาไม่ได้เลยถ้ามากับทัวร์
เรามาถึงทางแยกตัว Y ขณะนั้นก็มีรถบรรทุกสีเขียวตามเรามาติดๆ เราตัดสินใจให้พี่เค้าแซงไป ไม่รู้ข้างหน้าจะมีมนุษย์ให้ถามทางหรือเปล่า แล้วจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ว่าแล้วก็ถามคุณพี่คนขับซึ่งมีคุณพี่ผู้หญิงนั่งหน้ามาคู่กัน พลขับเราเอ่ยถาม “หมู่บ้าน Navala ไปทางไหนครับ?” คุณพี่ก็ดีใจหายบอกทันที “ตามเรามา” ใจดีจริงๆ
รถบรรทุกเขียวกับรถโตโยต้าอันติ๊ดของเราเทียบกันไม่ได้จริงๆ เพราะคุณพี่สามารถบึ่งตะบึงไปบนถนนที่ขรุขระสุดขีดเป็นหินกรวดก้อนใหญ่ก้อนเล็กตลอดทาง สภาพถนนเทียบแล้วแย่กว่าที่เขมรและเกาะไหหลำซึ่งทำอิชั้นไส้ครากมาแล้วอะค่ะ มิน่าทำไมทุกทัวร์ที่มาหมู่บ้านนี้ต้องใช้รถ 4WD ระหว่างวิ่งไปเราจะได้ยินเสียงหินดีดใส่ตัวถังรถตลอดเวลา ทำให้เราต้องค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทีละนิดละหน่อย
เราตามหลังคุณพี่ใจดีมาพักนึงก็ถึงทางแยกซึ่งเค้าก็บอกเราว่าต้องแยกกันแล้ว เอาหล่ะซิ เริ่มเสียความมั่นใจ ระหว่างทางน้องแฟรงค์หยุดรถแล้วถามว่าแน่ใจหรือจะไปต่อ ไม่รู้ทางข้างหน้าจะเป็นยังไงแล้วไม่รู้ต้องไปอีกแค่ไหน และที่สำคัญไม่มีรถวิ่งตามเรามาสักคัน มีแค่ช่วงแรกๆ ที่ยังพอเห็นรถสวนอยู่บ้าง ด้วยความที่อิชั้นเป็นคนประเภทฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง aka ดันทุรังโดยเฉพาะเรื่องเที่ยวก็เลยพยายามบอกน้องแฟรงค์ไปว่าไปต่อนะนะ อีกนิดก็คงถึงทั้งๆที่มันไม่มีวี่แววเลยจริงๆค่ะ แต่ทางที่เราผ่านไปก็สวยจริงๆนะค่ะ เป็น Highland
รถวิ่งได้ซักพักเราเห็นแพะหน้าตาน่ารักยืนอยุ่ข้างทางเลยต้องแชะรูปไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย
ผ่านมาได้อีกพักใหญ่มองเห็นสะพานปูนอยู่เบื้องหน้า และแล้วเราก็เห็นคุณน้าคนนึงกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่ในลำธาร และตามที่เราได้ตั้งปณิธานไว้ว่าถ้าเห็นสิ่งมีชีวิตที่พูดได้ก็ต้องถามทางทันที "ไปอีกไกลไหมน้า?" น้อง Frank ถาม น้าจ๊อกกี้ตอบทันที "อีก 5 miles" โอ้ดูมีความหวัง
รถวิ่งไปอีกพักใหญ่ทันใดเราก็มองเห็นหมู่บ้าน Navala อยู่ไกลๆ
อู๊ย อะไรมันจะลึกลับขนาดนี้ เป็นหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่กลางภูเขาจริงๆค่ะ แถมมีชัยภูมิมั่นเหมาะเนื่องจากอยู่ริมแม่น้ำ ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ค่ะ สรุปว่าเราขับรถมา 20 กิโลจากป้ายชื่อเมือง Navala ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงเศษค่ะ
ก่อนถึงหมู่บ้านต้องข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำ Ba ก่อน
เมื่อรถจอดหน้าหมู่บ้านมองเห็นเด็กชาย 2-3 คนยืนอยู่ อิชั้นก็เกิดอาการวิตกจริตไปต่างๆนานา เค้าจะต้อนรับเรามั๊ยนะ, วันนี้วันอาทิตย์ซะด้วยขนาดทัวร์ยังไม่มาเลย, แล้วจะไปหาหัวหน้าเผ่าเจอได้ยังไง blah blah ...
ปรากฏว่าทุกปัญหาย่อมได้รับการแก้ไข ทันใดก็มีคุณป้าผมซอยหัวสีดอกเลาเดินรี่เข้ามาหาเรา อิชั้นเลยถามว่า หัวหน้าเผ่าอยู่ที่ไหนค่ะ คุณป้าบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วมีแต่ caretaker หรือผู้ดูแล
ทางหมู่บ้านคิดค่าเข้าชมคนละ 25 FJD และถ้าอยากได้ guided tour ก็ขอเพิ่มอีก 10 FJD รายได้ไม่เลวจริงๆแพงกว่าที่ระบุไว้ในหนังสืออีกนะเนี่ย เลยแอบต่อรองเล็กน้อย "ในหนังสือเค้าบอกว่า 15 FJD เองป้า" ป้าสวนกลับด้วยสีหน้ามั่นใจข้อมูลเก่าแล้วยะ เอาวะไหนๆก็มาถึงแล้วก็เลยบอกป้าว่าเอา guide ด้วย ป้าบอกเราว่าเดี๋ยวขอแวะเอาเงินไปส่ง caretaker ก่อน
จากนั้นป้าก็เริ่มพาเราเดินชมหมู่บ้าน ลักษณะบ้านของชาวฟิจิเรียกกันว่า Bures เป็นบ้านที่ทำด้วยจากมุงด้วยหลังคาฟางทรงสูงไม่มีเสาตรงกลาง
พอสบโอกาสเหมาะก็เลยถามป้าว่า "โทษนะค่ะขอถามหน่อยว่าทำไมป้าหัวไม่เป็นทรงเห็ดเหมือนคนอื่นๆล่ะคะ" (รับรองว่าถามได้สุภาพมากค่ะไม่มีเคืองแน่นอน) ป้าตอบ "ชั้นเป็นคน Polynisia แต่มาแต่งกับคนฟิจิ" มิน่า ...
คุณป้าไกด์ก็เริ่มพาเดินดูรอบๆหมู่บ้าน ... รายละเอียดของหมู่บ้านชาวฟิจิขออุบไว้ตอนหน้านะคะ ... ขอบคุณที่อดทนรออ่าน blog ที่เขียนได้ช้าที่สุด นับถึงตอนนี้ก็ anniversary พอดีค่ะ แต่มันมีเหตุจริงๆค่า...
2 comments:
hahaha... thanks for the story ka'.. love all the details ka'.. really make me feel like part of the trip ka'... :D
really wanna know whether any other ever asked her (the auntie guide) the same question na ka :P
I believe there are people who wonder why the auntie's hair is not in a mushroom shape ah ka. Her hair style is so modern compared to native Fijian ah ka.
Post a Comment